การศัลยกรรมคาง เป็นการใช้แท่งซิลิโคน เช่นเดียวกับที่ใช้ในการเสริมจมูก มีทั้งที่ขึ้นรูปมาเรียบร้อยแล้วจากโรงงาน แพทย์จะนำมาทำการตกแต่งเพิ่มอีกเล็กน้อยก่อนเสริมเข้าไป และชนิดที่แพทย์ต้องเหลาขึ้นรูปเองให้เหมาะกับลักษณะใบหน้าของแต่ละคน
ปัญหาที่ควรแก้ไขด้วยการ ศัลยกรรมคาง ด้วยการเสริมซิลิโคน
• คางสั้น มีลักษณะสัดส่วนของคางที่สั้นที่สุดในใบหน้าทำให้ใบหน้าไม่สมส่วน
• คางตัด คือกระดูกส่วนล่างของบริเวณคางเท่ากันหมด
• คางบุ๋ม มีลักษณะที่จุดกึ่งกลางของคางมีผิวที่ลึกเข้าไปเหมือนรูปหัวใจ
ข้อดีของการ ศัลกรรมคาง ด้วยซิลิโคน
• ศัลยกรรมคาง ด้วยซิลิโคน ทำครั้งเดียว ต่างจากการเติมด้วยฟิลเลอร์ ที่ต้องเติมเมื่อเนื้อฟิลเลอร์เริ่มสลายตัวไปตามธรรมชาติ
• ซิลิโคนคางมีหลายขนาด ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์
• แผลในแผลนอกมีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป ควรศึกษาข้อมูลก่อน ศัลยกรรมคาง
• การเสริมด้วยซิลิโคนจะคงรูป ไม่มีการเปลี่ยนขนาดหรือรูปทรงไปตามการเวลา
• รูปคางของคนไข้ มีลักษณะต่างต่างกันไป ซิลิโคนที่นำมาเสริมต้องมีการเหลาหรือปรับขนาด องศา ตามปัญหาคางของแต่ละคน เช่นเดียวกับการศัลยกรรมเสริมจมูก
• การสัมผัสเนื้อซิลิโคนหลัง ศัลยกรรมคาง จะให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ เป็นเนื้อเดียวกันกับคาง
ซิลิโคนมีแบบไหนบ้าง ?
Size S ซิลิโคนขาสั้น
เหมาะสำหรับเคสที่ต้องเน้น เฉพาะบริเวณปลายคางให้ยาวขึ้น
พื้นฐานโครงสร้างคางดีอยู่แล้ว เพียงแต่อยากให้สัดส่วนของใบหน้าดูยาวมากขึ้น
ซิลิโคนขนาดเล็กสุดแต่เข้ารูปกระดูกปลายคางได้ดี
เนื้อซิลิโคนนิ่ม-ปานกลาง
Size M ซิลิโคนขาสั้น
สามารถเพิ่มความยาวของคางได้มากขึ้น ตัวซิลิโคนหนา และขากว้างกว่าแบบแรก
เหมาะสำหรับคนคางสั้น คางตัด ที่ต้องการมิติของใบหน้า
เนื้อซิลิโคนขาวขุ่น นิ่ม ยืดหยุ่น
สัมผัสหลังเสริมคางเป็นธรรมชาติ
ซิลิโคนขายาว
เสริมคางที่ครอบคลุมถึงรอยต่อแนวกราม
ซิลิโคนเนื้อค่อนข้างแข็ง เน้นคงรูป เป็นทรงมากกว่าแบบอื่น
เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาคางตัด คางเหลี่ยม มากที่สุด
ใช้เวลาในการปรับทรงนานกว่าปกติ หากไม่ได้รูปจะเป็นรอยต่อซิลิโคนกับแนวกรามชัดเจนไม่เป็นธรรมชาติ
ความแตกต่างระหว่างการ ศัลยกรรมคาง แผลนอก VS แผลใน
ศัลยกรรมคาง แผลนอก
แผลหายเร็ว แต่จะมีรอยเล็กๆ ที่ใต้คาง
ดูแลทำความสะอาดง่าย
รับประทานอาหารได้เลย
พักฟื้นไม่นาน
ศัลยกรรมคาง แผลใน
เป็นการผ่าตัดในช่องปาก
ต้องดูแลรักษาความสะอาดภายในช่องปาก อย่างดีไม่ให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อ
ไม่เห็นรอยแผล ไม่มีรอยแผลบริเวณใต้คาง
ได้รับความนิยมในกลุ่มคนไข้ ที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่า ศัลยกรรมคาง มา
ต้องรับประทานอาหารอ่อนเท่านั้นในช่วงแรก
การเตรียมตัวก่อน ศัลยกรรมคาง
1. แจ้งอาการแพ้ยา หรือ อาหารเสริมที่ใช้ในปัจจุบันก่อนเข้ารับการผ่าตัด
2. หากมีโรคประจำตัว โปรดแจ้งศัลยแพทย์ให้ทราบล่วงหน้า
3. งดรับประทานยาละลายลิ่มเลือด ยาจำพวกเสตียรอย ยาแก้ปวด ยาลดกล้ามเนื้อ แก้อักเสบ วิตามิน อาหารเสริมต่างๆ ประมาณ 2 สัปดาห์
4. งดสูบบุหรี่และดื่มสุราก่อนผ่าตัด
5. หากเป็นไข้หวัด ไอ หรือป่วย ให้งดผ่าตัดไปก่อน
6. แปรงฟันและทำความสะอาดช่องปากก่อนผ่าตัด
การดูแลหลัง ศัลยกรรมคาง
1. ในช่วง 1-3 วันแรกให้ประคบความเย็น เพื่อลดอาการบวม หลังจากนั้นอาการบวมจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ โดยทั่วไป อาการบวมมักจะยุบลงและได้รูปร่างของคางใหม่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1-3 เดือน
2. ในช่วง 1 สัปดาห์แรก ควรนอนยกศีรษะสูงอย่างน้อย 30 องศา
3. บางรายอาจมีรอยเขียวช้ำ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หลังจากการผ่าตัดประมาณ 1-2 สัปดาห์ แนะนำให้ประคบด้วยน้ำอุ่นบริเวณรอยเขียวช้ำ เพื่อให้รอยเขียวช้ำหายเร็วขึ้น
4. งดทานยาแอสไพรินหลังผ่าตัดต่ออีก 2 สัปดาห์หรือตามแพทย์สั่ง
5. ระมัดระวังการกระทบกระเทือนบริเวณคาง โดยเฉพาะในช่วงเวลา 3-4 สัปดาห์แรก ไม่ควรท้าวคาง ไม่ควรหัวเราะมากจนเกินไป และระมัดระวังไม่ให้เกิดแรงกระแทกมากระทบซิลิโคนมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ขยับเขยื้อน จากการที่ซิลิโคนยังเกาะติดแน่นกับขอบกระดูกไม่ดีพอ
คำแนะนำหลัง ศัลยกรรมคาง
1. ควรรับประทานอาหารอ่อนและนิ่มที่ไม่ต้องเคี้ยวมาก เพื่อลดการกระทบกระเทือนของบาดแผล เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณกรามทั้งสองข้างยังไม่มีแรงพอที่จะขบเคี้ยวของแข็งและเหนียว อาการเคี้ยวอาหารไม่ได้ หรือเคี้ยวลำบาก จะเป็นปกติประมาณ 1-3 เดือน
2. ควรงดสูบบุหรี่ประมาณ 1 สัปดาห์ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และของหมักดองประมาณ 1 เดือน
3. ควรบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก หรือน้ำเกลือทุกครั้งหลังรับประทานอาหารเพื่อไม่ให้เศษอาหารไปเกาะติดที่บริเวณปากแผล สามารถแปรงฟันได้ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้แปรงกระแทกบริเวณแผลผ่าตัด